We can work it out
ที่ต้องใช้คำว่าบริสุทธิ์ก็เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว ปัญหาเรื่องความขัดแย้งมักจะเรื้อรังแก้ไม่หายก็เนื่องจากต่างฝ่ายต่างไม่บอกความต้องการที่แท้จริงของตนเองให้อีกฝ่ายได้รับฟัง และเมื่อสิ่งที่พูดออกไปไม่ใช่ความต้องการของตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่สามารถจะรับฟังได้อย่างแท้จริงเช่นกัน กลายเป็นลูกโซ่ของความขัดแย้งที่ดูเหมือนจะไม่มีทางแก้ไขได้เลย หรือยิ่งแก้ยิ่งไปกันใหญ่อะไรทำนองนั้น
ในบทความมีการยกตัวอย่างเหตุการณ์ให้เห็นเป็นรูปธรรม แต่จะลองจำลองสถานการ์ใกล้ๆตัวมาเป็นตัวอย่างไว้ ณ.ที่นี้
ภรรยาทะเลาะกับสามีเรื่องที่สามีชอบเปิดวิทยุคลื่นข่าวการเมืองสีหนึ่งเป็นประจำ เพราะเธอรำคาญเสียงพูดปลุกเร้ายั่วยุจากผู้ดำเนินรายการ แต่สามีกลับเห็นเป็นความบันทิงที่ขาดไม่ได้
ถ้าจะใช้วิธีการตามบทความนี้ สถานการณ์ที่ควรจะเป็นก็คือภรรยาบอกความต้องการที่แท้จริงของตนเองว่าต้องการอยู่แบบเงียบๆและไม่ต้องการถูกรบกวนด้วยเสียงจากวิทยุที่สามีชอบเปิด แต่โดยส่วนใหญ่เหตุการณ์ที่มักจะเกิดขึ้นจริงๆจะคล้ายๆแบบนี้ ภรรยา-“นี่คุณ(หมายถึงสามี) เลิกเปิดไอ้คลื่นบ้าๆนั่นซะทีได้มั้ย ไม่รู้จะฟังให้มันได้อะไรขึ้นมา ฯลฯ” สามี- ” อ้าวคุณนี่ ไม่รู้จักติดตามสถานการณ์บ้านเมือง ถึงได้ดักดานโดนจูงจมูกจากไอ้…..ฯลฯ”
คงพอจะเดากันต่อได้ใช่ไหมครับว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป จากเหตุการณ์ข้างบนนี้ ไม่ได้เริ่มจากความขัดแย้งทางการเมืองแต่กลับจบลงด้วยการทะเลาะกันในประเด็นการเมืองไปในที่สุด ก็เพราะว่าคู่กรณีไม่ได้สื่อสารความต้องการที่แท้จริงของตนออกมาอย่างบริสุทธิ์ ถ้าภรรยาได้บอกความต้องการของตัวเองออกไป ในรูปแบบที่เหมือนกับว่าตัวเองกำลังต้องการอะไรบางอย่าง เช่นเหมือนกับการสั่งอาหารในร้านอาหาร หรือขอความช่วยเหลือเวลาหลงทางเป็นต้น เหตุการณ์ความขัดแย้งก็ไม่น่าจะบานปลายเช่นนี้ ปัญหาอยู่ที่ว่าเรามักจะพูดสิ่งที่เราต้องการออกไปด้วยทรรศนะที่มีความไม่พอใจ เมื่ออีกฝ่ายได้รับก็ต้องตอบโต้กลับมาโดยธรรมชาติ จนกลายเป็นความขัดแย้งที่บานปลายไปในที่สุด
http://contemplativeresearch.googlepages.com/CoReCoRDial13th080731wecanworkitout0.pdf
รายละเอีดเพิ่มเติมตามลิงค์ข้างบนนี้ครับ
ลมหายใจไร้ตัวตน
ช่างสังเกต
ส่วนใหญ่เรื่องที่เธอนำมาเล่าก็มักจะเป็นเรื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจ มาจากสารพัดป้ายข้างทางนั่นเอง เช่น “คิกคัก คิกคัก พี่ๆดูนั่นสิ หมู่บ้านอะไรชื่อตลกจัง ชื่อ หมู่บ้านเสียว ”
หรือไม่ก็ ” พี่ๆๆ ไม่แวะร้านนั้นหน่อยเหรอ เขาบอกว่าอาหารอร่อย แต่ไม่ดีกว่านะ ไม่เห็นมีคนเลย” หรือแบบนี้ก็มีนะ ” Outlet outlet outlet !(คือ พยายามจะสะกดจิตผมให้แวะที่สถานที่บางแห่งที่เธอต้องการ)” และ ฯลฯ
แต่อยู่ๆผมก็สะดุดหูเข้าให้กับอีกเรื่องที่เธอตั้งคำถามขึ้นมาแบบไม่มีทั้งปี่และขลุ่ย
“เอ ทำไมไม่ใช้คำอื่นนะ…. ทำไมต้องใหม่สุดๆหรือไม่ก็เก่าสุดๆไปเลยหล่ะ”
ลองเดาสิครับว่าภรรยาผมกำลังหมายถึงอะไร 3 2 1 หมดเวลา! คำตอบก็คือ “กาแฟ”
คือคุณเธอหมายถึงว่า กาแฟเนี่ย ถ้าไม่เจอป้ายโฆษณาว่า “กาแฟสด” ก็จะต้องเป็น “กาแฟโบราณ” เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังพยายามทดลองประดิษฐ์คำใหม่ลองดูว่ามันพอที่จะเข้าท่ากว่าหรือไม่
“กาแฟใหม่ ” ก็ใช้ไม่ได้ “กาแฟเก่า” ยิ่งแย่เข้าไปอีก ที่เล่ามาแบบไร้สาระล้วนๆนี้ ก็เพราะต้องการจะแสดงให้เห็นถึงตัวอย่างที่เขามักจะพูดกันว่า ความคิดสร้างสรรค์ ต้องเริ่มจากการสังเกตและตั้งคำถาม และในกรณีของภรรยาผมนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะไปได้ไกลที่สุดก็คือ สังเกตและตั้งคำถาม
ส่วนความคิดสร้างสรรค์นั้น ยังไม่สามารถไปถึงได้จนกระทั่งบัดนี้ 🙂
คำตัดสิน
ผมเป็นคนไม่ชอบตัดสินใครๆมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะเชื่อว่าเราอาจบอกได้ว่าใคร “ทำ” หรือ “ไม่ทำ” อะไร
แต่คงไม่สามารถไปบอกได้ว่าใคร “เป็น” หรือ “ไม่เป็น” อะไรได้อย่างแน่นอน
ดังที่จะเห็นได้เวลาที่จะมีการพิพากษาบุคคล ที่อาจจะไม่สามารถฟันธงได้ว่าสิ่งที่เขากระทำนั้นมันผิดหรือถูกกันแน่
คำว่า “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” ก็มักจะถูกยกมากล่าวอ้างอยู่บ่อยๆ
เพราะสิ่งที่ได้กระทำนั้นอาจสามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ แต่เจตนานั้นเล่าใครกันจะสามารถล้วงควักเอาออกมาวางให้เห็นกันอย่างจะแจ้งได้
บางทีเจ้าตัวเองยังไม่สามารถจะบอกกับตัวเองได้เต็มปากเลยว่า เจตนาของตนนั้นจริงๆแล้วมันคืออะไรกันแน่
ตัวเองยังหลอกให้ตัวเองเชื่อได้ นับประสาอะไรกับคนอื่นๆที่จะไปตัดสินใครๆว่าเจตนาของเขานั้นแท้จริงคืออะไร
กฎต่างๆที่คนเรายึดถือก็เพื่อจะเอามาใช้วัดและตัดสินว่าการกระทำใดๆก็ตามนั้น “ถูก” หรือ “ผิด” เพื่อความสงบสุขของสังคมส่วนใหญ่
กฎหมาย กฎหมู่ หรือสารพัดกฎ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อความพอใจของคนที่มีอำนาจเหนือกฎนั้นๆ เพราะคงไม่มีใครร่างกฎที่ตัวเองก็รู้ทั้งรู้ว่าไม่สามารถทำตาม หรือไม่สามารถอยู่เหนือกฎเหล่านั้นได้ขึ้นมา
กฎที่มีที่มาจากความเชื่อในแต่ละศาสนา จึงดูเหมือนจะเป็นศาลฎีกาสูงสุด ที่มนุษย์ทุกชีวิตจะหวังพึ่งได้อย่างไร้ข้อกังขาและข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น
และกฎที่มีที่มาจากศาสนาพุทธ ที่ผมเชื่อถือก็คือ “กฎแห่งกรรม” นั่นเอง
ฤดูนี้ ฤดูไหน แล้วจะโทษใคร
เริ่มต้นปีใหม่ 2553 มาได้ไม่กี่วัน ฝนก็เทกระหน่ำมาให้เราๆท่านๆแปลกใจกันเล่นๆ
ที่ผมอยากจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องฟ้าฝนที่ว่านี้ ก็เพราะว่าบังเอิญสะดุดใจกับปฏิกิริยาของตัวเองต่อเหตุการณ์นี้ สะดุดใจว่าแวบแรกที่ได้ยินการรายงานข่าว พร้อมกับมีการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยาท่านหนึ่ง ผมเผลอคิดในใจว่า “ดูซิ ว่าจะแก้ตัวอย่างไรที่ปล่อยให้ฤดูกาลมันผิดเพี้ยนไปเนี่ย” พอเริ่มได้สติก็นึกขำตัวเองว่า เฮ้ย นี่มันไม่ใช่ข่าวอาชญากรรมที่ได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆ ประเภทที่ว่ามีคนบางคนก่อเรื่องเดือดร้อนขึ้นกับสังคม หรือนักการเมืองที่ออกมาแถลงข่าวแสดงความใสซื่อบริสุทธิ์ของตัวเองว่าข้าพเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง(ตราบเท่าที่ไม่มีใบเสร็จมายืนยัน..ฮา..) อะไรทำนองนั้น หรือเดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นคนที่ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรที่เราไม่คาดหวัง และแถมยังทำให้เรารู้สึกไม่
พอใจด้วยแล้วละก็ สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือ
หาแพะ!
ใช่แล้วครับ เราต้องหาใครสักคนมาโทษว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องราววิปริตเหล่านี้ให้ได้ และเมื่อหาเจอแล้ว ก็ต้องร่วมด้วยช่วยกันคอมเมนต์กระหน่ำซ้ำเติม ให้มันสาสมกับสิ่งที่ได้ทำให้เราเดือดร้อนรำคาญใจ มันกลายเป็นความเคยชินจนกระทั่ง เมื่อฟ้าฝนไม่เป็นใจ เราก็ต้องหาใครสักคนหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งมารับผิดชอบ และใครเล่าจะเหมาะกับการเป็นแพะอย่างสมบูรณ์แบบสำหรับเรื่องฟ้าฝนวิปริตนี้มากไปกว่า กรมอุตุนิยมวิทยา เอ่อ ไม่รู้ว่าพี่แกไปทำอีท่าไหนเนอะ ฝนฟ้ามันถึงแปรปรวนไปเช่นนี้ จริงๆแล้วต่อให้ไม่มีการไปสัมภาษณ์ให้มาสะกิดต่อม “หาแพะ” ของผมก็ตาม ผมก็คงจะแอบบ่นบ้าในใจไม่ได้ว่า ทำไมหนอมันถึงได้เป็นแบบนี้ มันเคยชินจนผมลืมไปเสียสนิทแล้วว่า ก็มึง(หมายถึงผมนะครับ)นี่แหละ! ตัวการเลย
ก็ถ้าไม่ใช่เราๆท่านๆ ที่มีส่วนกระทำเชาเราธรรมชาติของโลกน้อยๆใบนี้แล้ว ใครกันหนอที่จะมีอานุภาพถึงขนาดไปดลบันดาลให้ฟ้าฝนเขาวิปริตได้เพียงนี้ หรือเขาอาจจะเป็นของเขาเองแบบนี้อยู่แล้วก็ได้ เพียงแต่เราไม่สังเกตกันเอง เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเป็นด้วยสาเหตุใดก็ตาม เราก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตายอมรับมันอย่างที่มันได้เป็นไปแล้วและกำลังจะเป็น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดจากเหตุ และถ้าเรามีสติปัญญาใคร่ครวญดีๆแล้วก็จะพบว่า “ตัวกู”นี่แหละ เป็นผู้บงการคนสำคัญ ที่เหลือนอกนั้นที่ถูกจับเอามาด่าทอให้สะใจเราเองได้ ล้วนแล้วแต่เป็น “แพะทั้งน้านนนนนนนน” เพียงแต่มันอาจจะมีจุดเริ่มต้นที่นานนนนนมาแล้ว หรือซับซ้อนซ่อนเงื่อนจนทำให้ในที่สุด เมื่อผลจากเหตุนั้นเกิดขึ้น เราก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ตีหน้าซื่อ พร้อมกับเริ่มต้นคำอุทานในใจเบาๆว่า “ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้วะ” ขอจบการรายงานข่าวแต่เพียงเท่านี้.
MBA chill chill
ก่อนสอบวิชา Finance เพียงไม่กี่วัน นักศึกษาหนุ่มถือโอกาสคลายเครียดด้วยการไปเฮฮากับเพื่อนที่ไม่ได้เรียนด้วยกัน
นักศึกษา: เฮ้ย มึงรู้ไม๊ ว่ากูเนี่ยกำลังจะสอบอีกไม่กี่วันนี้แล้วนะ เพื่อน : เออ แล้วมึงยังมาชวนกูเฮฮาอยู่เนี่ยอะนะ นักศึกษา : อ้าว คนเรามันก็ต้องคลายเครียดกันบ้างสิวะ โธ่ ทั้งเรียนทั้งทำงาน ปวดหัวตายห่ เพื่อน: เออ ก็มึงอยากหาเหาใส่หัวเองไมวะ นักศีกษา: หาหงหาเหาอะไรกัน เค้าเรียกว่าความรู้เฟ้ยยย เนี่ยอย่างไอ้วิชาไฟแนนซ์เนี่ยนะ กูก็ว่ากูก็พอรู้เรื่องมาบ้าง แต่พูดก็พูดเหอะนะ ถ้ากูไม่มาเรียน กูก็คงดักดานไม่เข้าใจแม้แต่เบสิคพื้นฐานของไอ้เรื่องการเงินนี้เลยนะ เพื่อน: เหรอวะ ไหนมึงลองแถลงมาซิ ว่าอะไรที่มึงคิดว่ามึงรู้แต่ที่แท้มึงก็กบในกะลาน้อยๆนี่เอง นักศึกษา: เออ มึงถามดีๆก็ได้นะ ไม่ต้องมีสร้อย คืองี้ พื้นฐานของไอ้วิชาการเงินนี่มึก็คงปฏิเสธไม่ได้ใช่มะว่า มันเกี่ยวกะเรื่องเงินๆทองๆ แล้วทีนี้อะไรที่เป็นเงินเป็นทองเนี่ย มันก็ต้องประเมินมูลค่ามันได้ จริงมะ เพื่อน: ก็เออสิวะ ถามโง่ๆ ไม่รู้ค่าของมันแล้วมึงจะทำไรต่อได้วะ ซื้อก็ไม่ได้ขายก็ไม่ได้ ระบบทุนนิยมก็ถึงกาลอวสานแน่นอน นักศึกษา : เออ ทำนองนั้น กูก็รู้ว่ามึงรู้ แต่ที่กูไม่เคยรู้และก็เชื่อว่ามึงก็คงไม่เคยสังเกตก็คือ ไอ้การที่เราจะไปตีมูลค่าหรือราคาของอะไรก็ตาม ในทางการเงินนี่น่ะ มันไม่เอาอดีตหรือปัจจุบันมาเกี่ยวข้องด้วยเลยนะ คือแบบว่า เป็นศูนย์โดยสิ้นเชิงเลย เพื่อน : หมายความว่าแม้ว่าอดีตหรือปัจจุบันมึงจะทำดีมาแทบตาย ก็ไม่นับเลยนี่นะ เฮ่ย ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นนี่หว่า นักศึกษา : เออ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละว่ะ คืองี้ไอ้พวกสูตรที่เขาสอนให้กูใช้ประเมินค่า เอาง่ายๆก็แบบ ประเมินค่าราคาหุ้นก็แล้วกันนะ สมมติว่ากูมีบริษัท แล้วจะเอาไปขายให้ชาวบ้านเนี่ย เขาประเมินค่าโดยใช้ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้จากบริษัทนี้ล้วนๆเลยไอ้อดีตที่ทำมา หรือปัจจุบันที่สมมติว่ากูเพิ่งทำกำไรถล่มทลาย จ่ายเงินปันผลไปแบบสูงสุดในโลกไปเมื่อสักสองสามนาทีที่ผ่านมานี้ มันก็ไม่เอานับมารวมในไอ้สูตรการประเมินมูลค่าหุ้นเลยแม้แต่น้อย เพื่อน : อืมมม เออวะ กูก็เพิ่งรู้นะว่าแนวคิดมันเป็นแบบนี้ นักศึกษา: ตอนแรกกูก็นั่งงงว่า อะไรกัน ทำไมมันเป็นแบบนี้ ก็มาลองนั่งสมมติอะไรเล่นๆ เลยถึงบางอ้อ คือ สมมติว่ามึงรู้ล่วงหน้าว่าไอ้บริษัทนี้อีกไม่กี่วันมันจะเจ๊งอะนะ มึงก็คงจะไม่เสียเงินซักกะแดงไปซื้อหุ้นมันหรอกจริงมะ แม้ว่ามันจะมีอดีตที่สวยหรูแค่ไหนก็ตาม เพื่อน : เออ จริงว่ะ นักศึกษา: กูเลยมาลองมองไปรอบๆตัวเรา ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสามารถใช้เงินซื้อหาได้เนี่ย มันก็เข้าสูตรนี้กันทั้งนั้นเลย คือว่า มึงเสียเงินซื้อของแทบทุกอย่างก็เพราะมึงหวังผลที่จะได้จากมันในอนาคต ไม่เกี่ยวกับว่ามันจะมีคุณภาพดีแค่ไหน แต่ถ้ามึงรู้ว่ามึงจะไม่มีอนาคตไว้ใช้มันแล้วละก็ มึงก็คงไม่ไปเสียเงินซื้อมันให้โง่หรอกจริงมะ
อย่างข้าวจานนี้ มึงซื้อก็เพราะว่ามึงคิดว่ามึงจะได้ใช้ประโยชน์จากมันคือได้ความอร่อยและแก้หิวให้มึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ มึงก็เลยเสียเงินซื้อมัน ถ้ามึงรู้ว่าซื้อไปก็ไม่ได้แดร็ก มึงก็คงไม่ซื้อมันมานั่งมองตาปริบๆเฉยๆหรอกจริงมะ ……โปรดติดตามตอนต่อไป…..
มนุษย์พันธุ์ไม่มันเขี้ยว
หลังจากผ่านเวลาไปได้ร่วมๆสิบนาที ผมก็รู้สึกตัวได้ว่ากำลังนั่งจ้องอยู่หน้าจอทีวีที่มีแต่ภาพไม่มีเสียง และภาพบนจอมีเพียงสิ่งมีชีวิตสองตัวเคลื่อนไหวไปมา
ถูกแล้วครับ มันคือ Panda Channel นั่นเอง หลังจากนั่งมองดูแม่ลูกแพนด้าตัวอ้วนกลมไล่ฟัดกันไปมา ผมก็ถามตัวเองว่า จะดูไปให้มันได้อะไรวะเนี่ย ถามเองแต่ตอบเองไม่ได้ รู้แต่ว่าดูไปเพราะว่ามัน “มันเขี้ยววววว” น่าจะมีบทวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต ที่ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับความมันเขี้ยว ว่ามันคืออารมณ์ประเภทไหน และมีต้นกำเนิดมาจากอะไรกันแน่ ถ้าให้เดาแบบมั่วๆ มันน่าจะเป็นพฤติกรรมติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดของสัตว์บางประเภท ที่จำเป็นจะต้องใช้ฟันขบเคี้ยวอาหารเป็นหลัก แต่เอ แล้วสัตว์ประเภทไหนล่ะ ที่ไม่ใช้ปากและฟันรับประทานอาหารกันละนั่นน่ะ เปิดพจนานุกรมดูก็ได้รับคำอธิบายว่า มันเขี้ยว- กริยา:อยากกัดอยากกินอยู่ร่ำไป. ฮ้า!นี่ผมกำลังอยากกัดอยากกินสองแม่ลูกแพนด้าโดยไม่รู้ตัวอยู่หรือเนี่ย ธ่อ ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องหมายรวมไปถึงเพื่อนจ้ำม่ำบางคนของผม เจ้าหมาหน้าบ้าน คุณพ่อผมที่นอนตาแป๋วและสุดท้ายลืมไม่ได้ก็คือภรรยาตัวอ้วนกลมของผมด้วยนะสิ ที่ผมกำลังอยากกัดอยากกินโดยไม่รู้ตัว ธ่อ ธ่อ ธ่อ ที่สงสัยไปกว่านั้น ก็คือผมมักจะสังเกตว่าคนบางคนนั้น ให้นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก ว่าเขาเคยมีอารมณ์มันเขี้ยวกับอะไรบ้างหรือเปล่าในชีวิตนี้ หรือว่ามันมีอะไรบ่งบอกถึงระดับความมันเขี้ยวของคนคนหนึ่งบ้างหรือไม่ อ่านมาถึงตรงนี้ ก็อย่าหวังว่าจะหาสาระอะไรกับเรื่องที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้เลยนะครับ เพราะว่าที่เขียนขึ้นมาเนี่ย ก็เพราะว่ามัน “มันเขี้ยวววววว” อยากเขียน ก็เท่านั้นเอง แหะๆจบละ
เป้าหมาย
“เป้าหมาย” เป็นสิ่งจำเป็นต่อการมีชีวิตอยู่ อาจจะนับเป็นปัจจัยที่ห้าเลยก็ว่าได้
เพราะเป้าหมายนั้นอยู่คู่กับตัวเรามาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าเราจะรู้สึกตัวหรือไม่ก็ตาม ทุกๆการกระทำล้วนแต่มีเป้าหมาย แต่คนที่มักจะคิดว่าชีวิตตนเองไร้ค่าและไร้จุดหมายนั้น ถ้าสังเกตดีๆก็จะพบว่า เป้าหมายนั้นมีอยู่ แต่ผิดทิศทางไปหน่อยเท่านั้นเองผมชอบมากกับแนวความคิดที่ว่า บางสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงนั้น แท้ที่จริงมีจุดกำเนิดหรือองค์ประกอบอย่างเดียวกัน แต่เพียงแค่องศาตั้งต้นต่างกันเพียงเล็กน้อย เลยดูเหมือนกับว่า ผลที่ได้ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน เป้าหมายกับการไร้เป้าหมาย จึงเป็นเรื่องเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ ต่างองศากันเพียงนิดเดียวเท่านั้น องศาที่ต่างกันนั้นก็คือ คนที่มีเป้าหมายก็คล้ายกับคนที่มองออกไปนอกหน้าต่าง ส่วนคนที่”คิดเอาเอง”ว่าชีวิตตนเองไร้เป้าหมายนั้น จะมองแค่เห็นแค่กระจกหน้าต่าง และที่เป็นความต่างที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ คนที่มีเป้าหมายเมื่อมองออกไปข้างนอกนั้น ก็จะเกิดพลังเชิงบวกที่จะนำพาตัวเองไปสู่จุดหมาย ส่วนคนที่ไร้เป้าหมาย เมื่อมองเห็นแค่กระจกที่ปิดกั้นตนเองอยู่ ก็จะเกิดความคิดเชิงลบคือความเกลียดชังเจ้าสิ่งกีดขวางนี้ รู้สึกคล้ายๆกับตัวเองถูกคุมขังอยู่ และเฝ้าคิดถึงวิธีการทำลายเจ้าแผ่นกระจกที่เป็นเสมือนสิ่งขวางกั้นตนเอง โดยที่ไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่อยู่นอกเหนือกระจกออกไปนั้นคืออะไร เป้าหมายของคนไร้เป้าหมาย จึงมีความเหมือนกันแทบทุกคนก็คือ ความต้องการที่จะทำลายเจ้าปราการชิ้นนี้เพื่อที่จะได้ไปให้พ้นๆจากความเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้เสียที โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงว่าเมื่อพ้นจากปัจจุบันนี้แล้ว ชีวิตจะเปลี่ยนไปอย่างไร เด็กที่ตั้งใจเรียน ก็เพื่อนำพาตัวเองให้พ้นจากความเป็นนักเรียน กับเด็กที่หนีโรงเรียน ก็เพื่อนำพาตัวเองให้พ้นจากความเป็นนักเรียน เช่นกัน แต่เด็กคนแรกมองไกลไปกว่านั้น ว่าเมื่อพ้นจากความเป็นนักเรียนแล้วตัวเองจะเป็นอะไรต่อ เด็กที่หนีเรียนไม่ได้มองไกลไปกว่า ความต้องการที่จะพ้นไปจากการเป็นนักเรียน หรือแม้กระทั้งเด็กที่ไม่ได้หนีเรียน แต่ก็เกลียดการไปโรงเรียนอย่างที่สุด เพราะรู้สึกว่าไร้จุดหมายใดๆจากการไปโรงเรียนโดยสิ้นเชิง จะเห็นว่ามีเพียงเด็กคนแรกเท่านั้น ที่เป้าหมายได้สร้างพลังเชิงบวกให้แก่ตนเอง แต่สองประเภทหลัง เต็มไปด้วยพลังในทางลบ ที่พร้อมจะแสดงตัวตนออกมาเมื่อถึงเวลา
เป้าหมายจึงมีอยู่ในทุกๆคน
เพียงแต่เป้าหมายนั้นจะยาวหรือสั้นแค่ไหนเท่านั้นเอง
เค้ เซ รา เส่ รา
คราเมื่อฉันนั้นยังวัยเยาว์อยู่ เฝ้าอยากรู้เหตุการณ์ในภายหน้า
จะเป็นโน่นนี่นั่นคันอุรา รวยล้นฟ้าหรือรูปงามถามจริงๆ
คุณแม่ครับหนูจะเป็นเช่นไรหรือ แม่ร้องอือตอบความตามสงสัย
หนูจะเป็นก็เช่นที่เป็นไป สิ่งใดๆก็ล้วนเป็นเช่นนั้นเอง
อนาคตใช่ตัวเราเฝ้ากำหนด มิอาจทดทานต้านความจริงได้
สิ่งใดๆล้วนย่อมเป็นเช่นควรไป เรานั้นไซร้ทำได้แต่ยอมรับมัน
บางคราสุขบางคราทุกข์นั่นของแน่ จริงแท้แท้ก็คือความแปรผัน
สุขและทุกข์นั้นอยู่เป็นคู่กัน จวบชีพนั้นตายจากฝากเพียงเงา
a Simple Plan
ไม่ทราบว่าเคยดูหนังเรื่อง A Simple Plan กันบ้างหรือเปล่า
บทหนังเรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความโลภที่อยู่ในใจของคนผ่านทางตัวละครหลากหลายบุคลิก พระเอก ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเราจะเรียกว่าพระเอกได้หรือเปล่า เพราะตัวเขาเองก็โดนความโลภหลอกเอาจิตวิญญาณลงต่ำไปอยู่ช่วงหนึ่ง ภรรยาพระเอก ก็ทำนองเดียวกัน จากสองสามีภรรยาที่ก็ดูเหมือนจะมีชีวิตแบบเรียบง่าย แต่พอเจอเจ้าความโลภเล่นงานเข้า หล่อนก็มีส่วนสนับสนุนให้เกิดเรื่องราวต่างๆที่ดูเหมือนจะ simple แต่ลงท้ายด้วยหายนะ พี่ชายพระเอก ผู้มีจิตใจดีงามและซื่อจนเกือบบื้อ ก็โดนกลเกมที่เกิดจากความโลภเล่นงานเอา จนเจ้าตัวสับสนกับคุณค่าของความเป็นคน และลงเอยด้วยการปลิดชีวิตตัวเองในที่สุดเพื่อนพี่ชายพระเอก ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ความโลภที่อยู่ในใจคนเรา ได้แสดงอานุภาพอันเลวร้ายออกมาอย่างเต็มที่ พูดง่ายๆว่าเมื่อมีการขัดผลประโยชน์กันเกิดขึ้นเมื่อไร เมื่อนั้นแหละที่เราจะได้เห็นอานุภาพของเจ้าความโลภได้อย่างคาดคิดไม่ถึงเลยทีเดียว
ผมว่าชีวิตจริงของคนบางคน ก็คล้ายๆกับหนังเรื่องนี้ ตัวละครอาจจะแตกต่างออกไปบ้าง จุดจบอาจจะลงเอยดีกว่าหรือเลวกว่าบ้าง แต่ทุกเรื่องราวก็ดูเหมือนจะมีจุดเริ่มต้นคล้ายๆกัน นั่นคือ แผนการง่ายๆที่เกิดขึ้นมาจากความโลภนั่นเอง
-
Archives
- May 2010 (1)
- April 2010 (1)
- January 2010 (3)
- December 2009 (2)
- October 2009 (2)
- September 2009 (4)
- August 2009 (2)
- July 2009 (3)
- June 2009 (4)
- May 2009 (3)
- April 2009 (7)
- March 2009 (4)
-
Categories
-
RSS
Entries RSS
Comments RSS