Wiroonsak’s Weblog

Welcome to all sorts of happyness!

ช่างสังเกต

    ระหว่างขับรถทางไกลกลับจากการทำธุระที่ต่างจังหวัด ภรรยาผมซึ่งปกติจะมีหน้าที่สองประการระหว่างการเดินทางคือ

      ไม่ฝอยก็ฟุบ

      ฝอยในที่นี้คือ ชวนคุยเจื้อยแจ้วไปตลอดทาง

      ฟุบในที่นี้คือ เมื่อฝนฟ้าอากาศภายนอกรถเป็นใจ เธอก็จะปรับเบาะเอนนอนหลับสนิทอย่างสบายอารมณ์

      ฝอยก็ดี เพราะทำให้ผมซึ่งเป็นคนขับไม่ง่วง

      ฟุบก็ดี เพราะทำให้ผมอีกนั่นแหละไม่ต้องเสียสมาธิในการขับรถไปตามสารพัดเรื่องที่เธอสรรหามาเล่า

   
    ส่วนใหญ่เรื่องที่เธอนำมาเล่าก็มักจะเป็นเรื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจ มาจากสารพัดป้ายข้างทางนั่นเอง เช่น

    “คิกคัก คิกคัก พี่ๆดูนั่นสิ หมู่บ้านอะไรชื่อตลกจัง ชื่อ หมู่บ้านเสียว ”

    
     หรือไม่ก็

    ” พี่ๆๆ ไม่แวะร้านนั้นหน่อยเหรอ เขาบอกว่าอาหารอร่อย แต่ไม่ดีกว่านะ ไม่เห็นมีคนเลย”

    

          หรือแบบนี้ก็มีนะ

    ” Outlet outlet outlet !(คือ พยายามจะสะกดจิตผมให้แวะที่สถานที่บางแห่งที่เธอต้องการ)”

        และ ฯลฯ

     
     แต่อยู่ๆผมก็สะดุดหูเข้าให้กับอีกเรื่องที่เธอตั้งคำถามขึ้นมาแบบไม่มีทั้งปี่และขลุ่ย

   
      “เอ ทำไมไม่ใช้คำอื่นนะ…. ทำไมต้องใหม่สุดๆหรือไม่ก็เก่าสุดๆไปเลยหล่ะ”

   
   ลองเดาสิครับว่าภรรยาผมกำลังหมายถึงอะไร

     3

     2

     1

       หมดเวลา!

     คำตอบก็คือ “กาแฟ”

   
    คือคุณเธอหมายถึงว่า กาแฟเนี่ย ถ้าไม่เจอป้ายโฆษณาว่า “กาแฟสด” ก็จะต้องเป็น

      “กาแฟโบราณ”

   

    เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังพยายามทดลองประดิษฐ์คำใหม่ลองดูว่ามันพอที่จะเข้าท่ากว่าหรือไม่

   
  “กาแฟใหม่ ” ก็ใช้ไม่ได้

    “กาแฟเก่า” ยิ่งแย่เข้าไปอีก

   

    ที่เล่ามาแบบไร้สาระล้วนๆนี้ ก็เพราะต้องการจะแสดงให้เห็นถึงตัวอย่างที่เขามักจะพูดกันว่า

    ความคิดสร้างสรรค์ ต้องเริ่มจากการสังเกตและตั้งคำถาม

    และในกรณีของภรรยาผมนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะไปได้ไกลที่สุดก็คือ

    สังเกตและตั้งคำถาม

   

   
   ส่วนความคิดสร้างสรรค์นั้น ยังไม่สามารถไปถึงได้จนกระทั่งบัดนี้  🙂                                   

Posted via email from gof’s posterous

January 28, 2010 Posted by | Uncategorized | 1 Comment

คำตัดสิน

ผมเป็นคนไม่ชอบตัดสินใครๆมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะเชื่อว่าเราอาจบอกได้ว่าใคร “ทำ” หรือ “ไม่ทำ” อะไร
แต่คงไม่สามารถไปบอกได้ว่าใคร “เป็น” หรือ “ไม่เป็น” อะไรได้อย่างแน่นอน

ดังที่จะเห็นได้เวลาที่จะมีการพิพากษาบุคคล ที่อาจจะไม่สามารถฟันธงได้ว่าสิ่งที่เขากระทำนั้นมันผิดหรือถูกกันแน่

คำว่า “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” ก็มักจะถูกยกมากล่าวอ้างอยู่บ่อยๆ

เพราะสิ่งที่ได้กระทำนั้นอาจสามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ แต่เจตนานั้นเล่าใครกันจะสามารถล้วงควักเอาออกมาวางให้เห็นกันอย่างจะแจ้งได้

บางทีเจ้าตัวเองยังไม่สามารถจะบอกกับตัวเองได้เต็มปากเลยว่า เจตนาของตนนั้นจริงๆแล้วมันคืออะไรกันแน่

ตัวเองยังหลอกให้ตัวเองเชื่อได้ นับประสาอะไรกับคนอื่นๆที่จะไปตัดสินใครๆว่าเจตนาของเขานั้นแท้จริงคืออะไร

กฎต่างๆที่คนเรายึดถือก็เพื่อจะเอามาใช้วัดและตัดสินว่าการกระทำใดๆก็ตามนั้น “ถูก” หรือ “ผิด” เพื่อความสงบสุขของสังคมส่วนใหญ่

กฎหมาย กฎหมู่ หรือสารพัดกฎ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อความพอใจของคนที่มีอำนาจเหนือกฎนั้นๆ เพราะคงไม่มีใครร่างกฎที่ตัวเองก็รู้ทั้งรู้ว่าไม่สามารถทำตาม หรือไม่สามารถอยู่เหนือกฎเหล่านั้นได้ขึ้นมา

กฎที่มีที่มาจากความเชื่อในแต่ละศาสนา จึงดูเหมือนจะเป็นศาลฎีกาสูงสุด ที่มนุษย์ทุกชีวิตจะหวังพึ่งได้อย่างไร้ข้อกังขาและข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น

และกฎที่มีที่มาจากศาสนาพุทธ ที่ผมเชื่อถือก็คือ “กฎแห่งกรรม” นั่นเอง

January 27, 2010 Posted by | Uncategorized | Leave a comment

ฤดูนี้ ฤดูไหน แล้วจะโทษใคร

   เริ่มต้นปีใหม่ 2553 มาได้ไม่กี่วัน ฝนก็เทกระหน่ำมาให้เราๆท่านๆแปลกใจกันเล่นๆ

   
   ที่ผมอยากจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องฟ้าฝนที่ว่านี้ ก็เพราะว่าบังเอิญสะดุดใจกับปฏิกิริยาของตัวเองต่อเหตุการณ์นี้

       สะดุดใจว่าแวบแรกที่ได้ยินการรายงานข่าว พร้อมกับมีการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยาท่านหนึ่ง ผมเผลอคิดในใจว่า “ดูซิ ว่าจะแก้ตัวอย่างไรที่ปล่อยให้ฤดูกาลมันผิดเพี้ยนไปเนี่ย”

     พอเริ่มได้สติก็นึกขำตัวเองว่า เฮ้ย นี่มันไม่ใช่ข่าวอาชญากรรมที่ได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆ ประเภทที่ว่ามีคนบางคนก่อเรื่องเดือดร้อนขึ้นกับสังคม หรือนักการเมืองที่ออกมาแถลงข่าวแสดงความใสซื่อบริสุทธิ์ของตัวเองว่าข้าพเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง(ตราบเท่าที่ไม่มีใบเสร็จมายืนยัน..ฮา..)

     อะไรทำนองนั้น

     หรือเดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นคนที่ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรที่เราไม่คาดหวัง และแถมยังทำให้เรารู้สึกไม่
พอใจด้วยแล้วละก็ สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือ

   
    หาแพะ!

   
    ใช่แล้วครับ เราต้องหาใครสักคนมาโทษว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องราววิปริตเหล่านี้ให้ได้ และเมื่อหาเจอแล้ว ก็ต้องร่วมด้วยช่วยกันคอมเมนต์กระหน่ำซ้ำเติม ให้มันสาสมกับสิ่งที่ได้ทำให้เราเดือดร้อนรำคาญใจ

      มันกลายเป็นความเคยชินจนกระทั่ง เมื่อฟ้าฝนไม่เป็นใจ เราก็ต้องหาใครสักคนหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งมารับผิดชอบ  และใครเล่าจะเหมาะกับการเป็นแพะอย่างสมบูรณ์แบบสำหรับเรื่องฟ้าฝนวิปริตนี้มากไปกว่า

     กรมอุตุนิยมวิทยา

     เอ่อ ไม่รู้ว่าพี่แกไปทำอีท่าไหนเนอะ ฝนฟ้ามันถึงแปรปรวนไปเช่นนี้

      จริงๆแล้วต่อให้ไม่มีการไปสัมภาษณ์ให้มาสะกิดต่อม “หาแพะ” ของผมก็ตาม ผมก็คงจะแอบบ่นบ้าในใจไม่ได้ว่า ทำไมหนอมันถึงได้เป็นแบบนี้

      มันเคยชินจนผมลืมไปเสียสนิทแล้วว่า

       ก็มึง(หมายถึงผมนะครับ)นี่แหละ! ตัวการเลย

   
   ก็ถ้าไม่ใช่เราๆท่านๆ ที่มีส่วนกระทำเชาเราธรรมชาติของโลกน้อยๆใบนี้แล้ว ใครกันหนอที่จะมีอานุภาพถึงขนาดไปดลบันดาลให้ฟ้าฝนเขาวิปริตได้เพียงนี้

      หรือเขาอาจจะเป็นของเขาเองแบบนี้อยู่แล้วก็ได้ เพียงแต่เราไม่สังเกตกันเอง

      เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเป็นด้วยสาเหตุใดก็ตาม เราก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตายอมรับมันอย่างที่มันได้เป็นไปแล้วและกำลังจะเป็น

      เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดจากเหตุ และถ้าเรามีสติปัญญาใคร่ครวญดีๆแล้วก็จะพบว่า

     “ตัวกู”นี่แหละ เป็นผู้บงการคนสำคัญ ที่เหลือนอกนั้นที่ถูกจับเอามาด่าทอให้สะใจเราเองได้ ล้วนแล้วแต่เป็น

      “แพะทั้งน้านนนนนนนน”

      เพียงแต่มันอาจจะมีจุดเริ่มต้นที่นานนนนนมาแล้ว หรือซับซ้อนซ่อนเงื่อนจนทำให้ในที่สุด เมื่อผลจากเหตุนั้นเกิดขึ้น เราก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ตีหน้าซื่อ พร้อมกับเริ่มต้นคำอุทานในใจเบาๆว่า

      “ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้วะ”

       ขอจบการรายงานข่าวแต่เพียงเท่านี้.         

Posted via email from gof’s posterous

January 7, 2010 Posted by | Uncategorized | Leave a comment