ช่างสังเกต
ส่วนใหญ่เรื่องที่เธอนำมาเล่าก็มักจะเป็นเรื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจ มาจากสารพัดป้ายข้างทางนั่นเอง เช่น “คิกคัก คิกคัก พี่ๆดูนั่นสิ หมู่บ้านอะไรชื่อตลกจัง ชื่อ หมู่บ้านเสียว ”
หรือไม่ก็ ” พี่ๆๆ ไม่แวะร้านนั้นหน่อยเหรอ เขาบอกว่าอาหารอร่อย แต่ไม่ดีกว่านะ ไม่เห็นมีคนเลย” หรือแบบนี้ก็มีนะ ” Outlet outlet outlet !(คือ พยายามจะสะกดจิตผมให้แวะที่สถานที่บางแห่งที่เธอต้องการ)” และ ฯลฯ
แต่อยู่ๆผมก็สะดุดหูเข้าให้กับอีกเรื่องที่เธอตั้งคำถามขึ้นมาแบบไม่มีทั้งปี่และขลุ่ย
“เอ ทำไมไม่ใช้คำอื่นนะ…. ทำไมต้องใหม่สุดๆหรือไม่ก็เก่าสุดๆไปเลยหล่ะ”
ลองเดาสิครับว่าภรรยาผมกำลังหมายถึงอะไร 3 2 1 หมดเวลา! คำตอบก็คือ “กาแฟ”
คือคุณเธอหมายถึงว่า กาแฟเนี่ย ถ้าไม่เจอป้ายโฆษณาว่า “กาแฟสด” ก็จะต้องเป็น “กาแฟโบราณ” เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังพยายามทดลองประดิษฐ์คำใหม่ลองดูว่ามันพอที่จะเข้าท่ากว่าหรือไม่
“กาแฟใหม่ ” ก็ใช้ไม่ได้ “กาแฟเก่า” ยิ่งแย่เข้าไปอีก ที่เล่ามาแบบไร้สาระล้วนๆนี้ ก็เพราะต้องการจะแสดงให้เห็นถึงตัวอย่างที่เขามักจะพูดกันว่า ความคิดสร้างสรรค์ ต้องเริ่มจากการสังเกตและตั้งคำถาม และในกรณีของภรรยาผมนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะไปได้ไกลที่สุดก็คือ สังเกตและตั้งคำถาม
ส่วนความคิดสร้างสรรค์นั้น ยังไม่สามารถไปถึงได้จนกระทั่งบัดนี้ 🙂
คำตัดสิน
ผมเป็นคนไม่ชอบตัดสินใครๆมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะเชื่อว่าเราอาจบอกได้ว่าใคร “ทำ” หรือ “ไม่ทำ” อะไร
แต่คงไม่สามารถไปบอกได้ว่าใคร “เป็น” หรือ “ไม่เป็น” อะไรได้อย่างแน่นอน
ดังที่จะเห็นได้เวลาที่จะมีการพิพากษาบุคคล ที่อาจจะไม่สามารถฟันธงได้ว่าสิ่งที่เขากระทำนั้นมันผิดหรือถูกกันแน่
คำว่า “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” ก็มักจะถูกยกมากล่าวอ้างอยู่บ่อยๆ
เพราะสิ่งที่ได้กระทำนั้นอาจสามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ แต่เจตนานั้นเล่าใครกันจะสามารถล้วงควักเอาออกมาวางให้เห็นกันอย่างจะแจ้งได้
บางทีเจ้าตัวเองยังไม่สามารถจะบอกกับตัวเองได้เต็มปากเลยว่า เจตนาของตนนั้นจริงๆแล้วมันคืออะไรกันแน่
ตัวเองยังหลอกให้ตัวเองเชื่อได้ นับประสาอะไรกับคนอื่นๆที่จะไปตัดสินใครๆว่าเจตนาของเขานั้นแท้จริงคืออะไร
กฎต่างๆที่คนเรายึดถือก็เพื่อจะเอามาใช้วัดและตัดสินว่าการกระทำใดๆก็ตามนั้น “ถูก” หรือ “ผิด” เพื่อความสงบสุขของสังคมส่วนใหญ่
กฎหมาย กฎหมู่ หรือสารพัดกฎ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อความพอใจของคนที่มีอำนาจเหนือกฎนั้นๆ เพราะคงไม่มีใครร่างกฎที่ตัวเองก็รู้ทั้งรู้ว่าไม่สามารถทำตาม หรือไม่สามารถอยู่เหนือกฎเหล่านั้นได้ขึ้นมา
กฎที่มีที่มาจากความเชื่อในแต่ละศาสนา จึงดูเหมือนจะเป็นศาลฎีกาสูงสุด ที่มนุษย์ทุกชีวิตจะหวังพึ่งได้อย่างไร้ข้อกังขาและข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น
และกฎที่มีที่มาจากศาสนาพุทธ ที่ผมเชื่อถือก็คือ “กฎแห่งกรรม” นั่นเอง
ฤดูนี้ ฤดูไหน แล้วจะโทษใคร
เริ่มต้นปีใหม่ 2553 มาได้ไม่กี่วัน ฝนก็เทกระหน่ำมาให้เราๆท่านๆแปลกใจกันเล่นๆ
ที่ผมอยากจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องฟ้าฝนที่ว่านี้ ก็เพราะว่าบังเอิญสะดุดใจกับปฏิกิริยาของตัวเองต่อเหตุการณ์นี้ สะดุดใจว่าแวบแรกที่ได้ยินการรายงานข่าว พร้อมกับมีการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยาท่านหนึ่ง ผมเผลอคิดในใจว่า “ดูซิ ว่าจะแก้ตัวอย่างไรที่ปล่อยให้ฤดูกาลมันผิดเพี้ยนไปเนี่ย” พอเริ่มได้สติก็นึกขำตัวเองว่า เฮ้ย นี่มันไม่ใช่ข่าวอาชญากรรมที่ได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆ ประเภทที่ว่ามีคนบางคนก่อเรื่องเดือดร้อนขึ้นกับสังคม หรือนักการเมืองที่ออกมาแถลงข่าวแสดงความใสซื่อบริสุทธิ์ของตัวเองว่าข้าพเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง(ตราบเท่าที่ไม่มีใบเสร็จมายืนยัน..ฮา..) อะไรทำนองนั้น หรือเดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นคนที่ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรที่เราไม่คาดหวัง และแถมยังทำให้เรารู้สึกไม่
พอใจด้วยแล้วละก็ สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือ
หาแพะ!
ใช่แล้วครับ เราต้องหาใครสักคนมาโทษว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องราววิปริตเหล่านี้ให้ได้ และเมื่อหาเจอแล้ว ก็ต้องร่วมด้วยช่วยกันคอมเมนต์กระหน่ำซ้ำเติม ให้มันสาสมกับสิ่งที่ได้ทำให้เราเดือดร้อนรำคาญใจ มันกลายเป็นความเคยชินจนกระทั่ง เมื่อฟ้าฝนไม่เป็นใจ เราก็ต้องหาใครสักคนหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งมารับผิดชอบ และใครเล่าจะเหมาะกับการเป็นแพะอย่างสมบูรณ์แบบสำหรับเรื่องฟ้าฝนวิปริตนี้มากไปกว่า กรมอุตุนิยมวิทยา เอ่อ ไม่รู้ว่าพี่แกไปทำอีท่าไหนเนอะ ฝนฟ้ามันถึงแปรปรวนไปเช่นนี้ จริงๆแล้วต่อให้ไม่มีการไปสัมภาษณ์ให้มาสะกิดต่อม “หาแพะ” ของผมก็ตาม ผมก็คงจะแอบบ่นบ้าในใจไม่ได้ว่า ทำไมหนอมันถึงได้เป็นแบบนี้ มันเคยชินจนผมลืมไปเสียสนิทแล้วว่า ก็มึง(หมายถึงผมนะครับ)นี่แหละ! ตัวการเลย
ก็ถ้าไม่ใช่เราๆท่านๆ ที่มีส่วนกระทำเชาเราธรรมชาติของโลกน้อยๆใบนี้แล้ว ใครกันหนอที่จะมีอานุภาพถึงขนาดไปดลบันดาลให้ฟ้าฝนเขาวิปริตได้เพียงนี้ หรือเขาอาจจะเป็นของเขาเองแบบนี้อยู่แล้วก็ได้ เพียงแต่เราไม่สังเกตกันเอง เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเป็นด้วยสาเหตุใดก็ตาม เราก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตายอมรับมันอย่างที่มันได้เป็นไปแล้วและกำลังจะเป็น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดจากเหตุ และถ้าเรามีสติปัญญาใคร่ครวญดีๆแล้วก็จะพบว่า “ตัวกู”นี่แหละ เป็นผู้บงการคนสำคัญ ที่เหลือนอกนั้นที่ถูกจับเอามาด่าทอให้สะใจเราเองได้ ล้วนแล้วแต่เป็น “แพะทั้งน้านนนนนนนน” เพียงแต่มันอาจจะมีจุดเริ่มต้นที่นานนนนนมาแล้ว หรือซับซ้อนซ่อนเงื่อนจนทำให้ในที่สุด เมื่อผลจากเหตุนั้นเกิดขึ้น เราก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ตีหน้าซื่อ พร้อมกับเริ่มต้นคำอุทานในใจเบาๆว่า “ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้วะ” ขอจบการรายงานข่าวแต่เพียงเท่านี้.
-
Archives
- May 2010 (1)
- April 2010 (1)
- January 2010 (3)
- December 2009 (2)
- October 2009 (2)
- September 2009 (4)
- August 2009 (2)
- July 2009 (3)
- June 2009 (4)
- May 2009 (3)
- April 2009 (7)
- March 2009 (4)
-
Categories
-
RSS
Entries RSS
Comments RSS